การเปลี่ยนแปลงใน Competitive Play 2.0

OWTH
Overwatch Thailand
Published in
3 min readSep 28, 2022

--

โหมดแข่งขันหรือ Competitive Play เป็นหัวใจหลักของผู้เล่นมาหลายปี ตอนนี้ทีมงานได้มีแผนระยะยาวเกี่ยวกับโหมดนี้ต่อ ๆ ไปในอนาคต โดยมีเป้าหมายดังนี้

  • ประการแรก ในแต่ละซีซันควรมีสิ่งน่าตื่นเต้น มีเรื่องราวของการเล่นของตัวเอง และนำพาผู้เล่นเดินทางไปต่อด้วยฮีโร่ แผนที่ โหมดการเล่น และการปรับสมดุล
  • ประการสอง การพ่ายแพ้ไม่ควรเกิดประสบการณ์เชิงลบเพียงอย่างเดียว ให้คนเล่นรู้สึกว่ามีความคืบหน้าและพัฒนาการในการเล่นหลังจบเกม ต้องการให้มีเครื่องมือที่ใช้ปรับปรุงฝีมือและไต่ระดับแรงก์ขึ้นไปได้
  • ประการสุดท้าย ต้องการให้ประสบการณ์หรือเซนส์ของการแข่งขันที่ถูกปรับปรุงนั้นกลับมา เพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและเพื่อนร่วมทีม

สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงใน Competitive 2.0 มีดังนี้

เงื่อนไขการปลดล็อกโหมด Competitive

เนื่องจาก Overwatch 2 ไม่มีระบบเลเวลอีกต่อไป XP ในการเล่นจะถูกนำไปสะสมกับ Battle Pass แทน

ฉะนั้นผู้เล่นใหม่ที่สร้างและเข้าเล่น Overwatch 2 มาใหม่ในวันหรือหลังวันที่ 5 ตุลาคม จะอยู่ในขั้นตอน FTUE หรือระบบแนะนำผู้เล่นใหม่ โดยจะต้องทำ FTUE ให้ครบ (ปลดล็อกฮีโร่และโหมดให้ครบ) และชนะ 50 เกมถึงจะปลดล็อกโหมด Competitive ได้ — เพื่อให้ผู้เล่นใหม่ได้เตรียมพร้อมถึงความเข้าใจในการเล่นเกมนี้ที่พร้อมลุยแบบระดับพื้นฐาน และจะทำให้ผู้เล่นที่เก่ง ๆ ลดความรู้สึกท้อแท้กับการเป็นมือใหม่ที่เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกัน

ในระหว่างที่อยู่ในขั้นตอน FTUE จะมีการวิเคราะห์ทักษะการเล่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับคู่หาห้องที่ลงตัว

สำหรับผู้เล่นเดิมที่เคยปลดล็อกโหมดนี้แล้ว หรือ ผู้ที่มีคุณสมบัติถูกต้องอยู่แล้ว ยังคงที่จะเล่น Competitive ได้เลยโดยไม่ต้องทำตามเงื่อนไขเหมือนผู้เล่นใหม่

1 เทียร์ 5 ขั้น

Skill Rating (SR) ที่เป็นตัวเลขจะถูกแทนที่ด้วย Skill Tier Division หรือ 1 เทียร์ 5 ขั้น ทั้งนี้ก็เพื่อลดความรู้สึกที่ติดค้างจากการมองเห็นตัวเลข SR ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนความรู้สึกที่สอบปฏิบัติแต่ประเมินเหมือนทำข้อสอบในกระดาษ ตรวจคะแนนทีละข้อ แทนที่จะใช้วิธีการประเมินผลงานโดยรวม ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดัน และรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในแรงก์นั้น ๆ เมื่อเทียบกับผลงานภาพรวมของตัวเอง

เทียร์ (Tier) หมายถึงตั้งแต่ Bronze จนไปถึง Grandmaster
ขั้น (Division) หมายถึงตัวเลข 5 4 3 2 1 ประจำเทียร์ โดย 5 คือต่ำสุด และ 1 คือสูงสุดเมื่ออ้างอิงของเดิมจะเท่ากับ 100 SR ต่อ 1 ขั้น (รวม 500 SR ต่อ 1 เทียร์)
ถ้าหากได้เข้าไปอยู่ใน Top 500 จะไม่มีเทียร์และขั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง

หน้าจอแสดงผลเมื่อมีการวัดระดับด้วยการชนะครบ 7 ครั้ง

เทียร์และขั้นจะมีการอัปเดตเมื่อชนะครบทุก ๆ 7 ครั้ง หรือแพ้/เสมอครบทุก ๆ 20 ครั้ง จากเดิมที่จะอัปเดตขึ้นลงในทุกเกม ฉะนั้นการประเมินผลงานใน 7 หรือ 20 เกมที่ผ่านไปแล้วจะช่วยให้ตัวผู้เล่นเองเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น กดดันน้อยลง และให้รู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนา มีความก้าวหน้าที่นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเล่นโหมด Competitive

เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการเล่น Competitive

UI ที่เน้นเรื่องแมตช์แข่งขันโดยเฉพาะ

การเปลี่ยนแปลง UI นี้เป็นไปตามข้อเสนอแนะที่พบเห็นในชุมชนผู้เล่นมามากมาย ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนดังนี้

  • ไม่ขึ้นกรอบเลเวลในทุกโหมดของเกม ไม่มีเลเวลเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • เทียร์แรงก์จะไม่ขึ้นแสดงในหน้าจอก่อนเริ่มเข้าเกมในแต่ละครั้ง เพราะระดับเทียร์และขั้นที่จับคู่มาในตอนนี้จะไม่มีความสอดคล้องเหมือนแบบเดิม ตอนนี้จะแสดงด้วยชื่อผู้เล่น ไอคอนผู้เล่น พื้นหลังชื่อ และ ฉายา
  • กระดานคะแนนใหม่ ที่ได้ตัดเรื่องเหรียญรางวัลออกไป (ทอง เงิน ทองแดง) เน้นเรื่องสถิติเพื่อปรับกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์และละเอียดมากขึ้น แสดงความคืบหน้าในการเล่นแบบโปร่งใสและเปิดเผย ทั้งหมดนี้คือจุดประสงค์ของกระดานคะแนนแบบใหม่
ภาพกระดานคะแนนแบบใหม่
  • ระบบปิงแจ้งตำแหน่ง ใช้งานเพื่อสื่อสารกับคนในทีมได้อย่างดีแม้จะไม่อยากพูดใส่ไมค์เลยก็ตาม

การวัดระดับ และการเริ่มต้นซีซันแรก

การวัดระดับใน Competitive แบบเดิมนั้นจะเปลี่ยนไปใน Overwatch 2 จากปกติที่จะต้องเล่น 5–10 แมตช์แล้วถึงจะมีแรงก์ คราวนี้จะต้องเล่นชนะครบ 7 เกมหรือแพ้-เสมอครบ 20 เกมถึงจะได้แรงก์ โดยผู้เล่นสามารถคาดหวังว่าจะได้เทียร์และขั้นที่ต่ำ ๆ แล้วค่อยไต่ขึ้นไปตลอดทั้งซีซันก็ได้เช่นกัน

ส่วนผู้ที่ได้แรงก์ก่อนที่จะมี Overwatch 2 จะถูกปรับแก้แรงก์โดยใช้สูตรคำนวณใหม่ที่ให้โอกาสผู้เล่นได้กำหนดชะตาตัวเองใหม่อีกรอบ ถ้าเกิดว่าเข้าไปเล่นแล้วรู้สึกว่าตัวเองต้องศึกษาแนวคิดและเมต้าใหม่ ผลที่ออกมาก็อาจจะได้แรงก์ที่ต่ำกว่าเดิม แต่ถ้าเกิดมีความเข้าใจในการเล่นได้ไว ศึกษาและสัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเคยเล่นเบต้ามาก่อน หรือติดตามการแข่ง Overwatch League ก็อาจจะได้แรงก์ที่สูงเพราะชำนาญก็เป็นได้

Game Reports

หน้าตาของ Game Reports

ภายใน Career Profile ได้มีฟีเจอร์ใหม่ขึ้นมาให้ใช ้นั่นคือ “Game Reports” อยู่ในแท็บ History ที่รวม Replay และ Highlight เข้ามาอยู่ในแท็บนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์การเล่นที่ผ่านมา รายงานผลข้อมูลเกมที่เล่นไปก่อนหน้า แบ่งไปตามโหมดเกมต่าง ๆ สรุปรวมมาให้อย่างเจาะลึกทั้งภาพรวมวิธีการเล่น ฮีโร่ที่ใช้ ข้อมูลการเล่นอื่น ๆ

หน้าตาของการสรุปรายงานผลของแมตช์นั้น ๆ

เมื่อคลิกที่รูปฮีโร่จะเป็นการเปิดสถิติการเล่นและข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากตัวกระดานคะแนนของเกมนั้น ๆ ในฮีโร่แต่ละตัวจะมีส่วนที่เป็นสถิติเฉพาะทางแตกต่างกันออกไปด้วย

หน้าตารายละเอียดสถิติเมื่อคลิกที่รูปฮีโร่

ในอนาคตของฟีเจอร์นี้ จะทำให้ข้อมูลที่รายงานยังคงอยู่ตลอดไปแม้จะกดออกเกม (หมายความว่าตอนนี้ ถ้ากดออกเกมไปตัวรายงานผลจะหายไป) และจะมีแนะนำข้อมูลจากไทม์ไลน์ของเกมนั้น ๆ ว่าช่วงสำคัญของตัวเองที่ทำไว้อยู่ช่วงไหนบ้าง และมีให้ดูผลลัพธ์จากกระดานคะแนนที่ทำได้ทั้งหมด

Top 500 Leaderboards

กระดานผู้นำ 500 อันดับแรกจะยังอยู่เหมือนเดิม โดยจะแบ่งไปตามหมวดหมู่ต่าง ๆ และเงื่อนไขการได้ขึ้นกระดานมีดังนี้:

  • สำหรับการเล่นจาก Role Queue (ล็อกตำแหน่ง) แสดงผลเฉพาะตำแหน่งนั้น ๆ ต้องเล่นให้ครบ 25 เกมในตำแหน่งนั้น ๆ
  • สำหรับการเล่นจาก Role Queue (ล็อกตำแหน่ง) แสดงผลแรงก์ตำแหน่งเฉลี่ยรวม ต้องเล่นอย่างน้อย 25 เกมในตำแหน่งใดก็ได้รวมกัน
  • สำหรับการเล่นจาก Open Queue (ตำแหน่งอิสระ) ต้องเล่นให้ครบ 50 เกม
  • กระดานจะปลดล็อกหลังเริ่มซีซันใหม่และผ่านไปสองสัปดาห์
  • สามารถดูกระดานของแพลตฟอร์มอื่นข้ามแพลตฟอร์มได้

การเสื่อมทักษะ (Skill Decay)

ผู้เล่นที่ไม่ได้เล่น Overwatch มานาน มีแนวโน้มที่จะรักษาระดับฝีมือเดิมของตัวเองที่น้อยลงไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นเพื่อเป็นการช่วยผู้เล่นที่ไม่ได้เล่นมาระยะหนึ่ง ระบบจะจับคู่กับคนที่ฝีมือต่ำกว่าที่เคยเป็นมา เพื่อเริ่มคำนวณการได้แรงก์ให้ใหม่และกำหนดแรงก์ที่เหมาะสมตามฝีมือปัจจุบันที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ยังมีการปรับระบบจับคู่ภายในให้การหาห้องไวขึ้น และจะกลับมาได้แรงก์ที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วอีกด้วย

รางวัล Competitive

ระยะเวลาซีซันของ Competitive จะเป็นระยะเวลาเดียวกันกับ Battle Pass

สำหรับตัวรางวัลที่เป็นสเปรย์และไอคอนผู้เล่นที่ระลึกที่มอบให้ในแต่ละซีซัน รวมไปถึงสเปรย์และไอคอนพิเศษสำหรับ Top 500 จะถูกเอาออกไป

หน้าภารกิจท้าทายสำหรับ Competitive

สิ่งที่จะมาแทนที่นั่นก็คือ “ฉายา” ที่มีให้เฉพาะผู้เล่น Competitive ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตัวฉายานี้จะเป็นการแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราไต่ได้สูงแค่ไหนในหนึ่งซีซัน โดยฉายาจะรับได้หลังจากจบซีซัน และใช้ได้ในซีซันถัดไป

Competitive Point (แต้มม่วง) ตอนนี้ได้เปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดง จึงขอเรียกว่า “แต้มแดง” ตัวแต้มแดงนี้จะมอบให้ 15 แต้มต่อ 1 ชนะ และ 5 แต้มต่อ 1 เสมอ หากสะสมครบ 3000 แต้มแดงจะสามารถนำไปปลดล็อกอาวุธทองได้เช่นเดิม

นอกจากนี้การมีเทียร์ตามเงื่อนไขรางวัลที่สูง ก็จะยิ่งได้แต้มแดงมากขึ้นเหมือนกับของเดิม ซึ่งจะได้เฉพาะรางวัลของเทียร์นั้น ๆ เท่านั้น ไม่มีการทบสะสมในเทียร์อื่น ๆ

การพัฒนาประสบการณ์ Competitive ในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ Competitive แบบใหม่ใน Overwatch โดยฟีเจอร์ที่กำลังจะมีเพิ่มคือการรายงานความก้าวหน้าของฝีมือทุกครั้งที่มีการอัปเดตแรงก์ และฟีเจอร์เกี่ยวกับ Competitive เพิ่มเติมในอนาคต

--

--